วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

David Copperfieldป็นสุดยอดนักมายากลโดยได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ทั่วโลก David Copperfield ให้ความประหลาดใจ และความบันเทิงแก่ผู้ชมอย่างมากมาย อันนำมาซึ่งเกียรติให้ได้รับรางวัลต่างๆ รวมทั้งรางวัล Entertainer Of The Year ในแอตแลนติคซิตี้ด้วย
เดวิด ค็อตกิ้น เป็นลูกคนเดียวในครอบครัวชาวรัสเซีย ที่อาศัยอยู่ในเมืองเมทูเชน รัฐนิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1956 พ่อของเขาเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้า แม่ของเขาเป็นพนักงานขายประกัน ปัจจุบันพวกเขาอาศัยในซานดิเอโก ที่ๆพวกเขาดูแลแฟนคลับให้กับลูกชาย เดวิดมีความสนใจด้านมายากลตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุ 11 ปี เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆบ้าน โดยเขามักเรียกตัวเองว่า Davino The Magician การแสดงของเขาถูกตาต้องใจของทางสมาคม The Society Of American โดยทางสมาคมต้องการให้เขาเข้าเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ และในเวลาเดียวกันนั้นเองขณะที่เขากำลังเรียนอยู่เพียงแค่ระดับมัธยมเท่านั้น แต่ทว่า เดวิดกลับมีโอกาสเข้าไปสอนมายากลในระดับมหาวิทยาลัย และได้สร้างความประทับใจ ด้วยการแสดงชุดโปรดของเขา นั่นคือ การหายตัวนั่นเอง ต่อจากนั้น ในขณะที่เขาอยู่ในมหาวิยาลัยฟอร์ดแฮมได้เพียง 3 สัปดาห์เขาก็ต้องจบการเรียนลง เนื่องจากเขาได้รับคัดเลือกให้แสดงในละครเพลง The Magic Man เขาจึงตั้งชื่อทางการแสดงใหม่ว่า David Copperfield หลังจากนั้นเขายังได้เป็นพิธีกรในรายการ The Magic Of ABC ฝันของเขาก็เป็นจริงเมื่อเรทติ้งพุ่งสูงและยังได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก หลังจากนั้น CBS ได้ดึงตัวเขามาทำสํญญาในการแสดงชุด The Magic Of David Copperfield ในปีที่ 5 ของการแสดง เขาทำให้เทพีเสรีภาพหายไปต่อหน้าต่อตาคนดูนับล้าน ในปี 1984 รายการนี้ยังได้รับรางวัล Emmy Awards เดวิดยังทำให้คนดูนับล้านต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อเขาลอยในอากาศเหนือแกรนด์ แคนยอน เดวิดได้ขยายลู่ทางมายากลของเขาสู่ระดับโลก เมื่อรายการของเขากับ CBS เข้าสู่ปีที่ 8 จุดมุ่งหมายของเขาอยู่ที่กำแพงเมืองจีน ด้วยสายตานับพันคู่ ที่จับจ้องมองสิ่งที่เดวิดกำลังจะทำ เขาค่อยๆเดินผ่านกำแพงเมืองจีนจากฟากหนึ่ง ไปยังอีกฟากหนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นในเดือน มีนาคม 1988 รายการนี้ได้รับคัดเลือกเป็นรายการที่มีผู้ชมมากที่สุด นั่นแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ดีเยี่ยม เพราะเขาทั้งเขียน ออกแบบการสร้าง และแสดงด้วยตนเองทั้งสิ้น
David Copperfield ได้สร้างมิติใหม่ให้แก่โลกมายากล เขาได้สร้างความลี้ลับของภาพลวงตา และเขายังเชื่ออีกว่า มายากลเป็นศิลปะที่ไม่มีขีดจำกัด ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้น คือสุดยอดของมายากลและความบันเทิง มายากลของเขาบอกถึงความเป็นตัวตนของเขา ทำให้เขาเปผ็นผู้ชายที่มีเสน่ห์รอบตัว และเขาคือสุดยอดนักมายากล David Copperfield…….
วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ใครจะขอคลิปหรือประวัติคนไหนเพิ่มเติมก็ขอให้มาขอกันได้หัวข้อนี้เลยนะครับ
Blue Sky (บลู สกาย) นักมายากลไทย
ช้างชัย หมูกะทะ
ซีคอน สแควร์
โรงเรียนมาเรียลัย
MBK International Magic Festival 2007
หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
นิตยสาร แปลนสนุกคิด
นิตยสาร Mother&Care
รายการ ย้อนรอย
รายการ ดาดฟ้าท้ายกห้อง
ฯลฯ
Black eye (แบล็ค อาย) นักมายากลไทย
Balance (บาลานซ์) นักมายากลไทย
Angglero (แองเจิลโร่) นักมายากลไทย
รางวัลดาวรุ่ง Stage Magic ยอดเยี่ยม "New Age Star Magic" ในงาน "รวมพลคนรักมายากลครั้งที่ 2"
รางวัลชนะเลิศประเภท "ความว่องไวของมือพิเศษ" ในงาน "Second Magic Contest 2005"
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการประกวดมายากลระดับมัธยมศึกษา ครั้งที่ 2
รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม ในงานรวมพลคนรักมายากล ครั้งที่ 3
นิตยสาร kids & family
MBK International Magic Festival 2007
ฯลฯรางวัลอื่นๆ
รางวัลนักเรียนความประพฤติ ดีเด่นประจำภาคเรียนที่ 2 ประจำปี 2547 โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 งานประกวดวาดภาพระบายสีในหัวข้อ "เยาวชนรุ่นใหม่ห่างไกลยาเสพติด" โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา
Dan Sylvester

อัจฉริยะมายากล...คนการ์ตูน วิทยาการสมัยใหม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามายากลสามารถสร้างให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เสมือนเป็นไปได้ดั่งใจนึก Dan Sylvester เป็นนักมายากลอีกคนหนึ่ง ที่สร้างสรรค์การแสดงของเขาขึ้นมาในรูปแบบของตัวการ์ตูน ในโลกแห่งทศวรรษใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ในความมีจินตนาการอันสุดยอดของเขา Dan sylvester The Jester กับคำนิยามในการแสดงว่า A Real Live Cartoon เขาสร้างโลกทัศน์มายากลอันบรรเจิดเป็นหนึ่งเดียวที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาใครเลียนแบบได้ยาก
Dan Sylvester สวมวิญญาณเป็นตัวการ์ตูน สร้างการแสดงของเขาโดยยึดแม่แบบจากตัวการ์ตูน ที่ชื่อ Sylvester นำเอาภาพลักษณ์ของตัวการ์ตูนมาผสมผสานเข้ากับเทคนิคของมายากล จนทำให้หลายต่อหลายคน ต่างยกย่องเขาว่าเป็นผู้เปลี่ยนมุมมองของมายากลให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น เป็นการแสดงอีกรูปแบบหนึ่งที่ท้าทายกับท่าทางแบบการ์ตูนแฝงด้วยมุขตลก เหมือนการ์ตูน Sylvester นั้นมีตัวตนจริงๆ ในโลกแห่งนี้ ทำให้ผู้ชมเห็นว่าเขาไม่ได้เพียงแต่แสดงเป็นการ์ตูน แต่เขาสามารถทำในสิ่งที่การ์ตูนทำได้ทุกอย่าง และได้รับการยอมรับจากนักมายากลชื่อดังของโลกมากมายอย่าง Amazing Johnathan, Harry Blackstone.jr, Kevin James ฯลฯ นอกจากนี้แล้วเรื่องราวของเขายังได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารชื่อดังมากมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันในความสามารถของ Dan Sylvester ได้เป็นอย่างดี จนทำให้เขาได้ แบบฉบับ ในความเป็นตัวของเขาเองขึ้นมา เขาได้นำเอาความเป็น การ์ตูนของ Waner Brother มาดัดแปลงเข้ากับการแสดงของเขา ไม่ว่าจะเป็นปากที่ห้อยยืดยาวลงมา ตาที่ถลนออกมา หรือแม้แต่ปากที่สามารถ ฉีกออกได้กว้าง สิ่งเหล่านี้คือสุดยอดไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ของเขา และอื่นๆ อีกมากมาย จุดนี้เองที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ คว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้วหลายรายการ พร้อมทั้งในรายการทีวีต่างๆ รวมถึงงานมหกรรมมายากล จะเจอเขาไปปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนในบ้านเราคงเคยเห็นผ่านตากับการแสดงของเขามาบ้างแล้วใน UBC หรือเทปบันทึกภาพการแสดง Champion of Magic 4 ที่ Monti Carloและนี่แหละคืออีกหนึ่งของสุดยอดนักมายากลแห่งโลกยุคใหม่
Kenji Minemura

ในความน่าพิศมัยของมายากล มันมีความเป็นศิลปะอยู่ในตัวของมันเอง แฝงด้วยการสร้างภาพ และการนำเสนอ ทำให้ดูเหมือนว่านักมายากลเป็นดั่งเหมือนผู้วิเศษ มีเวตมนตร์ คาถา อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ในความอัศจรรย์ เหลือเชื่อ! เราอาจจะพูดคำนี้ได้อย่างเต็มปาก กับบุคคลผู้นี้ Kenji minemura นักมายากลผู้มากับสไตล์บาร์เทนเดอร์ เด็กหนุ่มจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศมายากลที่ญี่ปุ่นในปี 1999 และเป็นแชมป์โลกมายากลประเภทเวที (Manipulation) ในงาน FISM 2000 ที่ประเทศโปรตุเกส
ด้วยการแสดงกลฝีมือที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของ “บาร์เทนเดอร์” กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาใครเลียนแบบได้ยาก มีบุคลิคเป็นของตัวเอง สร้างความโดดเด่นให้กับการแสดง และแตกต่างจากนักมายากลทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยการนำเอาอุปกรณ์จำพวก ช้อน ส้อม จาน ขวด มีด เข้ามาใช้ในการแสดง และสร้างภาพออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และน่าอัศจรรย์ใจ แทบจะบอกได้เลยว่า ทุกย่างก้าวของเขา สร้างความประทับใจให้ผู้ชมอยู่ตลอดเวลา การแสดงลื่นไหล เหมือนกับมีเวตมนตร์เสกอะไรได้ดั่งใจนึก ดูการแสดงของเขากี่รอบต่อกี่รอบก็ยังไม่รู้จักเบื่อ สำหรับผมชมแล้วแทบจะบอกได้เลยว่าขนลุก (ไม่ใช่ผีนะครับ) ได้ชมการแสดงของเขาในวีดีโอแล้วยังว่าสุดยอดเลย พอได้ชมการแสดงแบบสดๆ บนเวทีของเขาจริงๆ แล้วในงาน Thailand Magic Convention 2002 ที่ผ่านมามันยิ่งทำให้ประทับใจเขาหนักเข้าไปอีกล่าสุด Kenji Minemura ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติและยิ่งใหญ่ อีกหนึ่งรางวัลคือ Siegfried & Roy Award 2001 จากสองนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในลาสเวกัส Siegfried & Roy เป็นผู้มอบรางวัลสำหรับผู้ที่มีความสามารถพิเศษสูงสุดในการแสดง และนี่แหละครับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในความคิดสร้างสรรค์ ความมานะในการฝึกฝน และความพยายามก่อให้เกิดความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของการแสดง ก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีแสดงได้อย่างชำนาญและคล่องแคล่ว เขาซ้อมและผ่านการฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกกี่ร้อยกี่พันรอบผมไม่อาจรู้ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวแน่นอน
ฮูดินี่ Harry Houdini

ชีริล (Cyril)


ชีริล (Cyril)
เป็นนักมายากลคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วและถือว่าเขาเป็นดาวดวงใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ในเดือนมิถุนายนปี 2004 เขาแสดงโชว์โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็ม เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2 ปีผ่านทาง ทีวี โตเกียว และเขาก็ได้รับการตอบรับจากผู้ชมที่ดีมากๆ ในการแสดงโชว์ครั้งล่าสุดของเขา ชีริลทำให้คนดูต้องทึ่งด้วยการบันจี้จัมพ์ ลงมาจากลาสเวกัส โฮเทล พร้อมด้วยการถือดาบไว้ในมือและใช้ดาบเลือกไพ่ที่ลอยอยู่ในสระว่ายน้ำของโรงแรม มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ! และมันก็บ้ามากๆ ด้วย!
และผู้ชมทางโทรทัศน์ก็ได้ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงของเขาอีกครั้ง ที่จริงแล้วเป็นของปู่ของเขาต่างหากซึ่งถือว่าเป็นนักมายากลอาชีพที่อายุมากที่สุดก็ว่าได้ นอกจากนี้ผู้ชมยังได้พบกับเพื่อนนักมายากลคนหนึ่งของเขาซึ่งมีพรสวรรค์แต่น่ารำคาญคือเดโร่ (Dero) มายากลของชีริล เป็นต้นฉบับ และมีสไตล์ในแบบของเขาเองชีริล ไม่เพียงแต่จะจำกัดงานของเขาในญี่ปุ่นเท่านั้น ในอเมริกาเขาก็เป็นสมาชิกของ Magic X Live ซึ่งเป็นกลุ่มนักมายากลอายุน้อยและมาแรงที่สุดในโลกจำนวน 10 คน ซึ่งเปลี่ยนมายากลจากเพียงการนำกระต่ายออกมาจากหมวกให้เป็นการแสดงมายากลที่แปลกใหม่ออกไปสมาชิกของ Magic X Live ได้ร่วมการสร้างรายการทีวีขึ้นที่ชื่อว่า T.H.E.M. (Totally Hidden Extreme Magic) ซึ่งแพร่ภาพในอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษ เป็นรายการซึ่งนำเสนอการเล่นมายากลที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา ทั้งแบบที่หลุดโลกและน่าพิศวง ทั้งยังมีการถ่ายทำแบบลับๆ โดยกล้องที่ซ่อนไว้ การที่เขาเกิดและโตในฮอลลีวู้ด, แคลิฟอร์เนีย จากพ่อชาวโอกินาว่าและแม่ซึ่งเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-โมรอคโค เขาจึงได้เรียนรู้มายากลตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ เมื่อเพื่อนของพ่อแม่เขาพาไปชมการแสดงโชว์ที่ลาสเวกัส และในตอนนั้นเองที่เขาติดใจ เริ่มต้นเรียนรู้และฝึกฝนมายากลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ชีริลได้เข้าร่วมในโปรแกรมมายากลของเยาวชนที่มีชื่อในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งที่นั่นเขาได้เริ่มเรียนรู้ พัฒนาทักษะทางมายากลและนั่นก็ช่วยให้เขาเป็นนักแสดงมายากลมืออาชีพในปี 1994 F.I.S.M.(Federation International Society du Magique) มอบรางวัลนักมายากลระดับยอดเยี่ยมในแขนง Grand Illusion ให้กับเขาซึ่งรางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลระดับโอลิมปิคของวงการมายากล ดังนั้นจึงทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลกในปี 1997 เขาได้พบกับคู่หูและแดนเซอร์ของเขาคือ เจน (Jane) และพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มพัฒนาการแสดงใหม่ๆ เจนยอมรับว่า "มายากลทำให้ฉันมีมุมมองใหม่ๆ ในการเต้นและการแสดงบนเวที" และผลการความพยายามพัฒนาการแสดงของพวกเขาก็ออกมาดีจนทุกคนต้องทึ่ง ทั้งชีริล และเจน ร่วมกันแสดงพบเวทีได้อย่างมีศิลปะและสวยงาม การได้ดูพวกเขาแสดงมันเหมือนกับการดูบทกลอนที่เคลื่อนไหวไปด้วยความสวยงามและในปี 2001 สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำมาก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อชีริล และเจน ได้รับรางวัล Golden Lion Award ในการสัมมนา Siegfried and Roy's World Magic Seminar ในลาสเวกัสชีริลกลายเป็นที่รู้จักของคนที่ชื่นชอบมายากลทั่วโลก และหลายๆ ที่ก็ต้องการให้เขาไปแสดงโชว์ โดยเขาจะพิถีพิถันในการวางแผนการแสดงให้เหมาะสมกับสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งวางแผนให้เหมาะสมกับคนดูด้วย ทั้ง Close-up, Parlor Magic และ Grand Illusion เขาก็ทำได้ทั้งนั้น แต่การแสดงที่น่าตื่นเต้นของเขาที่ผ่านมาคือสุดยอดของเขาแล้วหรือ? ไม่หรอก เขายังมีสิ่งยอดเยี่ยมที่จะแสดงให้ผู้ชมเห็นอีกมากมาย
เพนน์ และ เทลเลอร์ (Penn & Teller)

เพนน์ และ เทลเลอร์ (Penn & Teller) การแสดงของพวกเขาท้าทายแต่ก็มีรสนิยมที่ดี พวกเขาร่วมแสดงด้วยกันมากว่า 30 ปี สร้างสรรค์งานมายากลให้ผู้ชมมากมาย และตลอดการแสดงเหล่านั้น เพนน์ และ เทลเลอร์ ได้สร้างสรรค์ทริคที่ยากที่สุดของพวกเขา เพนน์ และ เทลเลอร์ เรียกตัวเองว่า "ชายผู้ไม่ปกติที่เรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่ดีเลิศ"
ในปี 2001 พวกเขาก็กลับสู่บรอดเวย์ ในฐานะแขกบรรยายพิเศษ ใน Rocky Horror Picture Showหลังจากร่วมงานกันมากว่า 3 ทศวรรษ พวกเขาก็ยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดยั้ง โปรเจคล่าสุดของพวกเขาคือ "Penn & Teller : Bullshit!" ซึ่งเป็นซีรี่ส์ ที่ฉายทางเคเบิลทีวีเป็นซีซั่นที่ 4 แล้ว โปรเจคนี้ได้รับเสนอชื่อในรางวัล Emmy ถึง 6 ครั้งและในปี 2004 ก็ได้รับรางวัล WGA award ในสาขาซีรี่ส์ ตลก/วาไรตี้ยอดเยี่ยม เพนน์ และ เทลเลอร์ ยังสร้างสรรค์มุขตลกร้ายในสารคดีอย่าง The Aristocrats โดยแผ่น DVD ของเรื่องนี้วางขายในวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา
ซีกฟรีด แอนด์ รอย (Siegfried & Roy)
ซีกฟรีด - รอยซีกฟรีด ฟิสช์บาเชอร์ (Siegfried Fischbacher) เกิดวันที่ 13 มิถุนายน 1939 ที่ โรเซ็นเฮม และ รอย ฮอร์น (Roy Horn) เกิดวันที่ 3 ตุลาคม 1944 ที่ นอร์เดนแฮม ต่างก็เกิดที่ประเทศเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้อพยพมาอยู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้พวกเขาเป็นประชาชนอเมริกาอย่างเต็มตัวแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงความเป็นชาวเยอรมัน อยู่ ในปี 2002 พวกเขาได้รับเกียรติให้เดินนำขบวนพาเหรดของ German-American Steuben Parade ในฐานะจอมพลซีกฟรีด เป็นนักมายากลแบบดั้งเดิม ในขณะที่ รอย เติบโตมาท่ามกลางสัตว์หลากหลายชนิด และเขาก็มีความเป็นมิตรกับสัตว์เหล่านั้นด้วยพวกเขาพบกันในปี 1959 ในการทำงานร่วมกันบนเรือ Garman Ocean โดยซีกฟรีด เป็นสจ๊วต ในขณะที่รอย ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ซีกฟรีด เริ่มการแสดงมายากลด้วยการแสดงต่อหน้าผู้โดยสาร โดยมี รอย เป็นผู้ช่วย ในขณะที่ไม่มีใครรู้เลยว่า รอย ได้ลักลอบนำเข้าเสือชีตาชื่อว่า ชิโก้ โดยซ่อนมันไว้ในเรือ เขารู้จัก ชิโก้ จากการที่เขาไปเที่ยวที่สวนสัตว์ในเบรเมนบ่อยๆ หลังจากร่วมกันพัฒนาการแสดงมาโดยตลอด พวกเขาก็ได้แสดงโชว์ที่ลาส เวกัส ในปี 1972 พวกเขาได้รับรางวัลโชว์ยอดเยี่ยมแห่งปี ในปี 1990 สตีฟ วินน์ (Steve Wynn) ผู้จัดการ โรงแรม เดอะ มิราจ ก็จ้างเขาทั้งสองคนให้แสดงโชว์ที่โรงแรมโดยการันตีค่าตัวอยู่ที่ 57.5 ล้านดอลลาร์ต่อปี

โชว์ที่ใช้สัตว์ร่วมแสดงในปี 1999 พวกเขารับ ดาร์เรน โรมีโอ (Darren Romeo) มาอุปถัมภ์ โดยดูแลเป็นสปอนเซอร์ และฝึกสอนเขาต้นปี 2000 พวกเขาเซ็นสัญญาตลอดชีพกับโรงแรม พวกเขาร่วมกันแสดงโชว์มาแล้วกว่า 5,750 โชว์ และส่วนใหญ่ก็เป็นการแสดงที่ เดอะ มิราจ การแสดงอันยาวนานของพวกเขาต้องปิดตัวลงในวันที่ 3 ตุลาคม 2003 หลังจาก รอย ถูกทำร้ายระหว่างการแสดงโดยเสือตัวหนึ่งของเขาในวันที่ 3 ตุลาคม 2003 ระหว่างการแสดงโชว์ที่ เดอะ มิราจ รอย ฮอร์น ถูกเสือวัย 7 ปีชื่อ มอนเตคอร์ กัดเข้าที่ไหล่ ทีมงานพยายามที่จะช่วยเขาออกมา และนำส่ง University Madecal Center ในขณะนั้น ฮอร์น ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และเสียเลือดมาก แต่ในขณะที่เขาถูกพาไปโรงพยาบาล เขาก็บอกว่า "อย่าทำร้ายเสือ"รอย ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหลายสัปดาห์ เขามีอาการเป็นอัมพาตบางส่วน และเส้นเลือดมีการอุดตัน หมอจึงผ่าตัดเอากะโหลกออก 1 ใน 4 เพื่อระบาย และลดการบวมของสมอง จากนั้นเขาก็ถูกย้ายไปที่ UCLA Medical Center ใน ลอส แองเจเลส, แคลิฟอเนีย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย มอนเตคอร์ เสือตัวที่กัด รอย นั้น เขานำมันมาฝึกสอนมาตั้งแต่มันยังเด็ก และมันก็แสดงในโชว์ดังกล่าวมาเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ซีกฟรีด ให้สัมภาษณ์ในรายการ แลร์ลี่ย์ คิง ว่าในขณะนั้น มอนเตคอร์ พยายามจะพา รอย ไปในที่ๆ ปลอดภัย ตามสัญชาติญาณของแม่เสือที่ต้องการคาบลูกเสือไปไว้ในที่ๆ ปลอดภัย แต่มันไม่รู้ว่าคนเราไม่เหมือนกับเสือ เราไม่มีหนังหนาและขนปกคลุมที่จะให้มันสามารถคาบเราไปไหนๆ ได้ นั่นส่งผลให้ รอย ได้รับบาดเจ็บ มอนเตคอร์ ไม่มีความตั้งใจที่จะทำร้าย รอย เลย ด้าน สตีฟ วินน์ อดีตเจ้าของ เดอะ มิราจ ก็ให้สัมภาษณ์กับ KLAS-TV ว่าเหตุการณ์เป็นไปอย่างที่ ซีกฟรีด เล่า นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเวที ที่แสดงอาการว่าชื่นชอบ คลั่งไคล้ มอนเตคอร์ มากและอยากเล่นกับมัน แต่ รอย พยายามยืนขวางระหว่างเธอกับเสือ เพื่อป้องกันอันตราย มอนเตคอร์ ทำท่าคว้าแขน รอย เบาๆ และ รอย พยายามบอกมันให้ปล่อย แต่มันไม่ยอม จนกระทั่ง รอย ก็ตีมันด้วยไมโครโฟน และกระโดดขึ้นขี่หลังมัน จากนั้น เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเวทีซึ่งตกใจกับเหตุการณ์นั้นก็วิ่งออกมาหวังจะช่วย แต่จากการวิ่งเข้ามาช่วยนั่นเองทำให้เสือสับสน เข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง และมันก็พยายามพา รอย ออกไปจากที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย ทำให้เกิดความชุลมุน และ รอย จึงได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ป้ายหน้า เดอะ มิราจ ที่ไม่มีให้เห็นอีกแล้วมอนเตคอร์ ถูกขังไว้เป็นเวลา 10 วันเพื่อให้มั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นโรคกลัวน้ำ จากนั้นมันจึงได้กลับไปที่ เดอะ มิราจ อีกครั้ง แม้ รอย จะบอกว่า มอนเตคอร์ ไม่ทำร้ายใคร แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผู้คนต้องคำนึงถึงการแสดงโชว์โดยใช้สัตว์มากขึ้น แม้สัตว์พวกนี้จะสามารถนำมาฝึกได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเชื่องเสมอไป พวกมันยังคงเป็นสัตว์ป่าซึ่งไม่มีวันจะเป็นสัตว์เลี้ยงไปได้ การบาดเจ็บของ รอย ฮอร์น ทำให้ เดอะ มิราจ ต้องปิดโชว์นี้ และทำให้พนักงานต้องตกงานถึง 267 คน จากเหตุการณ์นี้ มีรายงานว่า เดอะ มิราจ ต้องสูญเสียรายได้มหาศาลไม่เพียงแต่ค่าเข้าชมที่ได้อย่างต่ำปีละ 45 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรายได้จากการขายอาหาร ห้องพัก และจากคาสิโน ด้วย ประชาสัมพันธ์ของ เดอะ มิราจ กล่าวว่า การสูญเสีย ซีกฟรีด และรอย เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ต่อชื่อเสียงของ เดอะ มิราจ รวมไปถึงการเงินของโรงแรมด้วย จากการจัดอันดับผู้มีชื่อเสียง 100 อันดับในปี 2000 ซีกฟรีด และรอย เป็นบุคคลที่ทำเงินมากที่สุดเป็นอันดับที่ 9 ในอเมริกา ตามหลังคนดังหลายๆ คนเช่น สตีเว่น สปีลเบิร์ก
ปัจจุบัน : รอย - ซีกฟรีดซีกฟรีด และรอย ยังมีชื่อใน Hollywood Walk of Fame ด้วย โดยอยู่ที่ 7060 Hollywood Boulevardในปี 2007 พวกเขาประกาศว่ามีความตั้งใจที่จะเขียนหนังสือเพื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมดของพวกเขา ซึ่งรวมถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นเกย์ และครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่รักกัน แต่เมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดลงแล้วพวกเขาก็ยังคงเป็นคู่หู และเพื่อนที่ดีต่อกัน รวมไปถึงเรื่องที่พวกเขาติดยาด้วย*โรงภาพยนตร์ IMAX รัชโยธิน เคยนำเอาภาพยนตร์ 3 มิติของ ซีกฟรีด และรอย Siegfried & Roy the Magic Box มาฉายเมื่อปี 2000
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
www.siegfriedandroy.com
แลนซ์ เบอร์ตัน (Lance Burton)

เพนน์ - แลนซ์ เบอร์ตัน - เทลเลอร์คอลลินส์ ได้ทราบถึงความสนใจของ เบอร์ตัน และเขาก็รับเป็นปรึกษาให้ เบอร์ตัน พร้อมทั้งสอนมายากลเบื้องต้นต่างๆ ให้ด้วย ในปี 1977 เบอร์ตัน เข้าแข่งขันมายากลครั้งแรก และเขาก็ชนะเป็นอันดับ 1 ต่อมาในปี 1980 หลังจากวันเกิดครบรอบ 20 ปี ของเขาไม่นาน เขาก็ได้รับรางวัล "Gold Medal of Excellence" จาก the International of Magician หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปแคลิฟอร์เนียใต้ และภายในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์เขาก็แสดงใน The Tonight Show ซึ่งผู้จัดรายการตอนนั้นคือพิธีกรชื่อดัง จอห์นนี่ คาร์สัน (Johnny Carson) เขาได้ดูการฝึกซ้อมของ เบอร์ตัน ก่อนขึ้นแสดง และชอบใจ จึงขอให้ เบอร์ตัน แสดงในรายการของเขาตลอด โดยทำการแสดงครั้งละ 12 นาที โดยเขาได้ร่วมแสดงครั้งหมด 10 ครั้ง ภายใต้การดำเนินรายการของ จอห์นนี่ คาร์สัน และอีก 5 ครั้งภายใต้การดำเนินรายการของ เจย์ เลโน่ นอกจากนี้เขายังไม่แสดงโชว์ใน The Late Show with Craig Ferguson ด้วยแลนซ์ เบอร์ตัน ได้แสดงโชว์ใน Folies Bergere ในลาส เวกัส เป็นเวลา 8 สัปดาห์ หลังจากนั้นเขาก็ได้เซ็นสัญญากับที่นั่นเป็นเวลา 9 ปีในปี 1982 เขาร่วมแข่งขัน Federation International des Societes Magiques (FISM) ที่จัดขึ้นที่ โลซาน, สวิตเซอร์แลนด์ และได้รางวัล "Grande Prix" ซึ่งเขาเป็นนักมายาลอายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลนี้ และเป็นชาวอเมริกัน คนแรกด้วย
ภาพ แลนซ์ เบอร์ตัน หน้ามอนเต คาร์โลในปี 1986 เขาปรากฏตัวในรายการพิเศษวันฮาโลวีนชื่อ Mystery Magical Special ของช่อง Neckelodeonในปี 1991 เขาก็มีการแสดงโชว์ของตัวเองที่โรงแรม ฮาเซนด้า และทำการแสดงที่นั่นเป็นเวลา 5 ปีเขาแต่งงานครั้งหนึ่งกับ เมลินดา แซกซ์ (Melinda Saxe) นักมายากลสาวในเดือนสิงหาคม 1993 แต่ก็หย่าอีก 1 ปีหลังจากนั้น โดยเขากล่าวว่า เมลินดา เป็นคนที่ค่อนข้างที่จะไม่มีรสนิยม ในเดือนสิงหาคม 1994 เบอร์ตัน เซ็นสัญญากับ Monte Carlo Resort ในลาส เวกัส เป็นเวลา 13 ปี ซึ่งเป็นสัญญาที่ยาวนานที่สุดในลาส เวกัส โรงละคร Lance Burton ที่มีความจุ 1,274 ที่นั่ง ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเขา มีมูลค่ากว่า 27 ล้านดอลล่าร์ เริ่มเปิดใช้วันที่ 21 มิถุนายน 1996 จากหนังสือ USA Weekend ได้คาดการณ์ว่าตลอด 13 ปีที่เขาแสดงที่นี่จะมีรายได้มากกว่า 110 ล้านดอลล่าร์แลนซ์ เบอร์ตัน ได้แสดงโชว์ที่ บัฟฟาโล่ บิลล์ส โฮเทล แอนด์ คาสิโน ใน พริมม์, เนวาด้า โดยเขาหลุดพ้นจากการถูกมัดไว้ด้วยโซ่ติดรางรถไฟเหาะตีลังกาชื่อว่า Desperado โดย Desperado เป็นรถไฟเหาะตีลังกาที่มียาว และเร็วที่สุดในอเมริกา ใช้เวลา 1 นาทีในการไต่ถึงจุดสูงสุด และใช้เวลา 3.5 วินาทีในการร่อนลงมา Burton ถูกมัดไว้ด้วยโซ่ทั้งมือ และเท้า ระหว่างการแสดงดูเหมือนว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น แต่เขาก็สามารถหลุดออกมาได้ ก่อนที่รถไฟจะมาถึงตัวเขาเพียงเสี้ยววินาที หลังจากการแสดงที่หวาดเสียว เบอร์ตัน ก็หันมามองกล้อง และบอกว่า "มันโง่มาก มันโง่มากจริงๆ"
แลนซ์ เบอร์ตัน ฉลองปีที่ 25แลนซ์ เบอร์ตัน ฉลองครบรอบ 10 ปีที่ มอนเต คาร์โล โดยการแสดงโชว์ชุดใหม่ของเขาที่ชื่อว่า "Solid Gold Lady" ซึ่งเป็นการแสดงที่ใช้ทองมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลล่าร์เขาเป็นเพื่อนซี้ของ คริส แองเจล และเคยเป็นแขกรับเชิญในรายการ "Criss Angel Mindfreak" ด้วย
http://www.lanceburton.com/
David Blaine
พ่อของเขามีเชื้อสายเปอร์โตริกัน ส่วนแม่ของเขา ปาทริซ เมารีน ไวท์ (Patrice Maureen White) เป็นชาวยิว เชื้อชาติรัสเซีย เบลน เติบโตใน พาร์ค สโลป, บรู๊คลิน จากนั้นเขาก็ย้ายที่นิวเจอร์ซี่ และเข้าเรียนที่ Passaic Valley Regional High Schoolเดวิด เบลน ถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อเลี้ยงของเขา จอห์น เอ บูคาโล่(John A. Bukalo) และจากนั้นชื่อเขาก็เปลี่ยนเป็น เดวิด เบลน บูคาโล่ (David Blaine Bukalo) เขามีน้องคนละพ่อหนึ่งคนชื่อ ไมเคิล เจมส์ บูคาโล่ (Michael James Bukalo)
เดวิด เบลน เริ่มอาชีพของเขาจากการเล่นมายากลอยู่ริมถนน เริ่มจากแสดงกลไพ่ การทำให้สิ่งของลอยได้ และการทำให้แมลงวันที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพ เขาได้แสดงทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรายการ Conan O'Brien ซึ่งครั้งนั้นเขาได้ทำการแสดงกลไพ่ รายการทีวีรายการแรกของเขาชื่อว่า David Blaine : Street Magicในวันที่ 5 เมษายน 1999 เขาเริ่มการแสดงผาดโผน ที่เรียกว่า "ฝังทั้งเป็น (Buried Alive)" เขาถูกฝังไว้ใต้กล่องพลาสติกซึ่งอยู่ใต้แท้งค์น้ำหนัก 3 ตันเป็นเวลา 7 วัน มีผู้เข้าเยี่ยมชมเขาที่ Manhattan's Upper West Side ที่ซึ่งเขาถูกฝังไว้ราว 75,000 คน เขาไม่ได้กินอะไรเลย และได้ดื่มน้ำเพียงวันละ 2 - 3 ช้อนชาเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อครบ 7 วันในวันที่ 13 เมษายน เขาก็ออกมาได้ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2001 เขาได้ทำการแสดงผาดโผนอีกครั้งที่มีชื่อว่า "Frozen in Time" ซึ่งถูกแพร่ภาพทางทีวีด้วย โดยเขายืนในตู้แช่แข็งที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งซึ่งตั้งตระง่านอยู่ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ค เขาสวมเสื้อผ้าที่บางเบา และดูเหมือนเขาจะสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะถูกน้ำแข็งห่อหุ้มไปทั้งตัว ในตู้นี้เขาได้รับทั้งอากาศ และน้ำ ส่วนปัสสาวะของเขาก็จะถูกถ่ายออกมาในอีกท่อที่ต่อไว้แล้วด้วย อยู่ใช้เวลาอยู่ในนั้นนาน 63 ชั่วโมง 42 นาที และ 15 วินาที ก่อนจะออกมาโดยการค่อยๆ เลื่อยน้ำแข็งออกทีละน้อย เพื่อยืนยันให้ผู้ชมได้เห็นชัดเจนว่าเขาอยู่ในนั้นตลอดเวลา เขาออกมาด้วยอาการงงงวยเล็กน้อย ก่อนจะถูกห่อด้วยผ้าห่ม และนำส่งโรงพยาบาลทันทีเพราะหมอเกรงว่าเขาอาจจะช็อคได้
เบลน ให้สัมภาษณ์ในรายการสารคดีว่ากว่าเขาจะเดินไปอีกครั้งก็ใช้เวลาเป็นเดือน และเขาก็ไม่คิดที่จะเล่นผาดโผนมากมายขนาดนี้อีกแล้วเพียงไม่ถึง 1 ปีถัดมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2002 เขาก็ทำการแสดงผาดโผนอีกครั้งชื่อว่า "Vertigo" โดยจัดแสดงที่ ไบรแอนท์ พาร์ค นิวยอร์ค ซิตี้ โดยเขาถูกเครนยกขึ้นวางไว้ที่เสาที่มีความสูง 25 เมตร และกว้าง 22 นิ้ว อยู่สามารถทรงตัวอยู่ได้นาน 35 ชั่วโมง จากนั้นวันที่ 5 กันยายน 2003 เขาเริ่มต้นช่วงเวลา 44 วันในการถูกขังไว้ในตู้กระจกใสที่ถูกแขวนไว้สูงเหนือพื้นดิน 9 เมตรใกล้กับ พอตเตอร์ส ฟิลด์ส พาร์ค ที่อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน ตู้กระจกนี้มีขนาดประมาณกว้าง 3 ฟุต ลึก 3 ฟุต และสูง 7 ฟุต และมีเว็บแคมติดอยู่ในตู้ด้วย เพื่อให้ผู้ชมสามารถเห็นเขาได้ชัดเจนตลอดเวลา เบลน กล่าวว่าเขาใช้เวลาอยู่ในนั้นนาน 44 วันโดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง และมีเพียงน้ำวันละ 4.5 ลิตรเท่านั้น สื่อในอังกฤษต่างวิพากษ์วิจารณ์การแสดงครั้งนี้ของเขา และกล่าวว่าการที่เขากลับมากินอาหารอีกครั้งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของเขาก็ได้
การแสดงผาดโผนกลายเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่สื่อพูดถึง และให้ความสนใจกันมากโดยเฉพาะในแง่ของการดูถูก และเห็นว่าการแสดงนี้ไร้สาระ เบลน ออกมาจากตู้ในวันที่ 19 ตุลาคม ตามกำหนด และออกมาพร้อมกับพึมพำว่า "ผมรักพวกคุณทุกคน" ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยเขากล่าวหลังจากนั้นว่าเขาลดน้ำหนักได้ถึง 54 ปอนด์ (24.5 กก.) จากการแสดงครั้งนี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 เขาขังตัวเองในวัตถุทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร ซึ่งเติมเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งห้อยไว้หน้า ลิน คอล์น เซ็นเตอร์ โดยเขาวางแผนว่าจะอยู่ในนั้นนาน 7 วัน 7 คืน โดยใช้ท่อเพื่อหายใจ และกินอาหาร นอกจากนี้เขายังต้องการสร้างสถิติโลกด้วยการกลั้นหายใจให้ได้นาน 8 นาที 58 วินาที แต่แล้วเขากลับทำได้จริงๆ เพียง 7 นาที 33 วินาที ก่อนที่จะส่งสัญญาณเพื่อขอท่อสำหรับช่วยหายใจ แต่อย่างไรก็ดี เขาก็อยู่ในนั้นได้นานกว่า 7 วันอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยเขาอยู่ได้ทั้งหมด 177 ชั่วโมง สำหรับการแสดงโชว์ชิ้นต่อไป เขาได้ออกมาประกาศในวันที่ 20 สิงหาคม 2007 ว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2008 และยังกล่าวอีกว่า "หากคุณคิดว่าโชว์ที่ผ่านมาของผมตื่นเต้นแล้วล่ะก็ โชว์ใหม่นี้จะทำให้คุณพูดไม่ออกไปเลย ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ในตอนนี้ แต่ผมได้เริ่มเตรียมการบางอย่างแล้ว และฝึกซ้อมสำหรับมันโชว์ที่อันตรายที่สุด และท้าความตายที่สุดนี้ไว้แล้ว" โดยสื่อหลายแขนงออกมาคาดเดากันว่าเขาอาจทำการอดนอนเพื่อทำลายสถิติโลกที่โทนี่ ไรท์ ทำไว้ด้วยการอดนอนนานถึง 12.5 วัน
นอกเหนือจากการแสดงแล้ว เดวิด เบลน ยังได้ออกหนังสือ Mysterious Stranger : A Book of Magic ซึ่งส่วนหนึ่งประกอบด้วยประวัติของเขา และประวัติของมายากลสำหรับชีวิตส่วนตัว เขาเคยออกเดทกับ ฟิโอน่า แอปเปิ้ล, มาดอนน่า, โจซี่ มาราน, ลอนเน่เก้ เอนเกล และ แดริล ฮันน่าห์
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
www.davidblaine.com
คริส แองเจล (Criss Angel)

การเป็น Illusionist แองเจิล ปรากฏตัวทางโทรทัศน์ในฐานะนักมายากลครั้งแรกในรายการพิเศษทางช่อง ABC ชื่อรายการว่า "Talents" ในปี 1995 จากนั้นในปี 1998 เขาก็ได้ตั้ง "Criss Angel : World of Illusion" และนั่นก็ทำให้เรื่องของเขาได้ขึ้นพาดหัวในนิตยสารรายปีของ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น ต่อมาในเดือนตุลาคม 2002 เขาเริ่มทำรายการโทรทัศน์ความยาว 1 ชั่วโมงชื่อรายการ "Criss Angel Mindfreak" ทางช่อง ABC family รายการของเขามีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ทำให้เขาจัดรายการนี้อยู่นานถึง 600 เทปไปจนถึงเดือนมกราคม ปี 2003 จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2005 "Criss Angel Mindfreak" ก็กลับมาอีกครั้งทางช่อง A&E Network ด้วยระยะเวลาเทปละครึ่งชั่วโมง และในตอนนี้เขาก็กำลังสร้าง "Criss Angel Mindfreak" ซีซั่นที่ 3 อยู่ด้วย การแสดงของเขามีทั้งการเดินบนน้ำ การลอยตัวอยู่ระหว่างตึก 2 ตึก และการแบ่งตัวเขาออกเป็น 2 ท่อนต่อหน้าผู้ชม แขกรับเชิญในโชว์ของเขามีทั้ง โจนาธาน เดวิส (Jonathan Davis), กอร์น (Korn), ร็อบ ซอมบี้ (Rob Zombie), แมนดี้ มัวร์ (Mandy Moore), เพนน์ แอนด์ เทลเลอร์ (Penn & Teller) และ แลนซ์ เบอร์ตัน (Lance Burton)นอกจากนี้ คริส แองเจล ยังได้เป็นดารารับเชิญในซีรี่ส์ชื่อดัง CSI : NY ในตอนที่ชื่อว่า "Sleight Out of Hand" ซึ่งออกฉายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2007 อีกด้วย โดยเขาเล่นเป็นตัวละครชื่อ Luke Blade นักมายากลชื่อดังซึ่งเข้ามาช่วยในการสืบสวนคดี คริส แองเจล คว้ารางวัล Academy of Magical Arts’ Magician ถึง 3 ปี คือปี 2001, 2004 และ 2005 และได้รางวัล IMS Magician of the year ประจำปี 2007 - 2008 การแสดงทริกบางอย่างของเขา ก็ให้คำอธิบายได้โดยตัวเขาเอง โดยเฉพาะการแสดงที่มีขายใน DVD ที่วางขายทางเว็บไซต์ เช่นการแสดง teleports และ telekinesis บางการแสดงของเขาก็มีการใช้มายากลในการรักษาอาการป่วยต่างๆ เช่นเดียวกับที่มีนักมายากลคนอื่นๆ ทำกันมาแล้วเช่น เดวิด ค็อปเปอร์ฟิลด์ (David Copperfield), เดวิด เบลน (David Blaine) และ เดอะ เพนดราก้อนส์ (The Pendragons) อีกทั้งเขียนหนังสือชื่อ Mindfreak : Secret Revelations from the Master of Surreality ออกวางจำหน่ายด้วยผู้ที่ได้ชมการแสดงของเขาและนักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่า แองเจล เป็นเพียง "Video Illusionist" คือใช้ Special Effects ต่างๆ เข้ามาช่วยในการถ่ายทำ รวมทั้งการมีผู้ช่วยแสดงด้วย (หน้าม้า) แสดงจริงต่อหน้าผู้ชมไม่ได้ แต่การแสดงของแองเจล ก็เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในช่วงซีซั่นที่ 2 ของเขา คริส แองเจล ได้นำเสนอ "Spectator's Point of View camera" โดยเอาได้สุ่มผู้ชมในห้องส่งมาเพื่อเป็นผู้ถือกล้องสำหรับถ่ายทำ โดยเขาผู้นั้นสามารถถ่ายทำได้ตามความพอใจ อย่างไรก็ดี รายการนี้ก็ดูเหมือนไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าไรเขายังเปิดเผยถึงกลบางอย่างของเขาให้กับแฟนๆ ทาง TV และทาง Stuff Magazine (แต่มันก็เป็นเพียงการแสดงธรรมดาเช่น การทำให้ไม้จิ้มฟันหายไป หรือการทำให้ถ้วยโฟมลอยได้)
ในฐานะนักดนตรีแองเจล เคยอยู่ในวงร็อคชื่อว่า "Angeldust" ซึ่งเขาได้เริ่มก่อตั้งวงกับ เคล์ สกอตต์ (Klay Scott) หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า Klayton จากวง Celdweller วง Angeldust ได้ออกอัลบั้ม Musical Conjurings from the World of Illusion ในปี 1998 และได้แสดงในเมดิสัน สแควร์ การ์เด้น หลังจากนั้นก็ได้ออก CD อีกหลายแผ่นในชื่อ Criss Angelล่าสุดเขา ได้สร้างวิดีโอ MF2 ร่วมกับ Sully Erna นักร้องนำของ Godsmack โดยมีให้ชมแล้วทาง Yahoo Videos
